อันดับที่10
ในเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ 2000 ด็อกเตอร์ แอนนา โจฮัสสัน
แพทย์ศัลยกรรมฝึกหัด
กำลังเล่นสกีในเส้นทางนอกเมืองนาร์วิคประเทศนอร์เวยที่เคยใช้อยู่เป็นประจำ
เมื่อไปถึงร่องของลำธารน้ำแข็ง เธอได้พลาดเสียการทรงตัวและร่วงลงไปยังลำธารนั้น ใบหน้าและลำตัวของเธอได้ติดแหง็กอยู่ใต้น้ำแข็งที่จับตัวกันอย่างแน่นหนา
แต่เธอก็ยังพอมีสติที่จะนำถุงลมมาใช้หายใจ หลังจากผ่านไป40นาทีของความพยายามที่จะสลัดตัวให้หลุดจากลำธารน้ำแข็ง
เธอก็ประสบกับภาวะร่างกายอุณหภูมิต่ำกว่าปกติ ซึ่งทำให้หัวใจ ระบบประสาทและอวัยวะส่นอื่นๆเริ่มที่จะทำงานไม่ปกติ
เมื่อหน่วยกู้ภัยสามารถตัดน้ำแข็งออกและนำร่างของเธอออกมาได้
อุณภูมิในร่างกายของเธอเหลือเพียงแค่13.7องศา
และมีชีพจรเต้นอย่างแผ่วเบา อย่างไรก็ตามเธอก็รอดชีวิตมาได้จากการส่งถึงมือแพทย์ได้ทันเวลาและใช้เวลาหลายเดือนในการฟื้นฟูสุขภาพจนกลับมาแข็งแรงเป็นปกติยกเว้นอาการเสียวเย็นของมือทั้งสองข้างที่เธอยังคงรู้สึกจนถึงทุกวันนี้
อันดับที่9
สายการบินยูโกสลาฟ ดีซี 9 ออกเดินทางจาก
โคเปนเฮเกน ไปยังเบลเกรด โดยมีผู้โดยสารและคณะลูกขุนทั้งหมด 28คน ณ ระดับความสูง 33000 ฟุต
ระเบิดที่ซ่อนไว้โดยกลุ่มก่อการร้ายในเครื่องบินเกิดการระเบิดขึ้น
เครื่องบินแตกแยกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ และตกลงไปตามยอดภูเขา
ผู้โดยสารและคณะที่อยู่บนเครื่องบินเสียชีวิตทั้งหมด27คน เหลือเพียงแค่ เวสนา วูโลวิช
ซึ่งเป็นพนักงานแอร์โฮสเตสของเครื่องบินเท่านั้นที่ตกลงมาพร้อมกับ
ร้อยร้าวที่กระโหลก กระดูกขาสองข้างและกระดูกสันหลังที่หัก แต่ยังคงรอดชีวิตมาได้
เธอได้ใช้เวลาในการรักษาตัวอยู่หลายเดือนและได้รับการบันทึกในกินเนสส์บุ๊คให้เป็นมนุษย์ที่ตกลงมาจากความสูงที่มากที่สุดและยังคงมีชีวิตรอดโดยไม่อาศัยร่มชูชีพ
อันดับที่8
รอย ซูลิเวียน เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ ผู้ถูกขนานนามว่า
เป็นมนุษย์สายล่อฟ้า นั่นก็เพราะว่าตลอดระยะเวาลา36ปีที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าอุทยาน
เขาเคยถูกฟ้าผ่าใส่ตัวลงมา 7ครั้งด้วยกัน ซึ่งบางครั้งเขาได้รับการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย
แต่ในบางครั้งมันก็สร้างอาการบาดเจ็บที่รุนแรง เช่น
ทำให้ผมและไหล่ของเขาติดไฟ หรือ
ทำให้เกิดอาการแสบร้อนในทรวงอก
โดยแต่ละครั้ง เขาจะได้รับรอยแผลเป็นฝากไว้ในร่างกายของเขาเสมอ อีกทั้งรอยยังได้รับการบันทึกลงกินเนสส์บุ๊คในฐานะที่ได้รับอุบัติเหตุจากฟ้าผ่ามากกว่ามนุษย์คนอื่น ๆ
และยังคงมีชีวิตอยู่ได้
อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดเขาก็เสียชีวิตลง จากการยิงตัวเองตายเพราะผิดหวังในความรัก
อันดับที่7
เดือนเมษายนปี2003. เอรอน ราลสตัน ในวัย27ปี
ได้กำลังปีนเขาอยู่ที่
blue john canyon ในขณะนั้น
หินขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักราว300กว่ากิโลก็ตกลงมาใส่แขนขวาของเขา
แล้วคาอยู่ในลักษณะนั้นเพราะช่องเขาแคบเกินไปจนหินขยับไม่ได้
เอรอนได้พยายามใช้มีดพับแงะหินออกและพยายามชักรอกของเชือกที่ใช้ปีนเพื่อสลัดหินให้หลุด
แต่ทั้งสองวิธีนี้ก็ไม่ได้ผลก็ไม่ได้ผลแต่อย่างใด
ท้ายที่สุด เอรอน ก็รู้ได้ว่าหนทางเดียวที่จะทำให้ออกไปได้
ก็คือการตัดแขนที่ติดอยู่กับหิน แม้แรงกดจากหินจะทำให้เลือดในส่วนนั้นหยุดไหลเวียน
แต่การที่จะต้องตัดเส้นประสาท เส้นเอ็นและยังต้องหักกระดูกทิ้ง ทำให้เขาเล่าว่า
มันเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากกว่าความเจ็บที่เคยประสบมาเป็นร้อยเป็นพันเท่า เมื่อสลัดตัวเองจากหินได้แล้ว
เขาจึงสามารถปีนขึ้นไปสู่พื้นดิน และได้รับความช่วยเหลือในเวลาต่อมา
อันดับที่6
มีใครหลายคนเคยกล่าวไว้ว่าการวิ่งมาราธอน ในทะเลทรายซาฮาร่าคือการแข่งขันกีฬาที่ทรหดที่สุดบนโลกนี้ นั่นก็เพราะว่าไม่ใช่แค่คุณจำเป็นต้องวิ่งให้เร็วที่สุดในสภาพอากาศที่ร้อนจัด
แต่ยังมีความเสี่ยงที่จะหลงทางในสถานที่ทีไม่น่าอภิรมย์แห่งนี้อีกด้วย
ในปี 1996 มอโร
พอร์ซเพอรี นักกรีฑาชาวอิตาลีก็ได้ค้นพบถึงความโหดร้ายของการแข่งขันนี้
ในขณะแข่งขันเขาต้องเจอกับพายุทรายในเวลากลางคืน
และในตอนเช้าเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเขาเองได้หลงจากเส้นทางไปเสียแล้ว
และด้วยน้ำที่เหลือเพียงแค่ครึ่งขวดเท่านั้น ทำให้เมื่อตอนที่น้ำของเขาหมดลง เขาต้องยอมกินปัสสาวะของตนเอง
และได้ฆ่ากลุ่มค้างคาวบริเวณนั้นประมาณ20ตัวด้วยการตัดคอของมันออก
เพื่อดูดเลือดมันเพื่อบรรเทาความกระหายน้ำ และกินค้าคาวเป็นอาหารประทังชีวิต เมื่อผ่านไป3วันและไม่มีสัญญาณของความช่วยเหลือใดๆมาถึง
เขาจึงตัดสินใจกรีดข้อมือตัวเอง แต่เนื่องจากเลือดของเขาแข็งตัว
เพราะขาดน้ำจึงทำให้เลือดนั้นไหลออกมาได้ไม่มาก พอร์ซเพอรี จึงใช้รอยเลือดเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือและท้ายที่สุดในวันที่9 ก็มีกลุ่มคนเร่ร่อนพบเขาและนำส่งโรงพยาบาล
อันดับที่5
ในตอนเช้าของเดือน กันยายน ปี 2008 โรเบิร์ต อีแวนส์ คนไร้บ้านในวัย46ปี ถูกคนขับรถชนแล้วหนี
ในขณะที่เดินข้ามถนน และ ในระหว่างตอนที่เดินกลับหลังจากเสร็จสิ้นการรักษาตัวที่โรงพยาบาล
เขาก็ถูกรถไฟพุ่งเข้าขนจนตกลำธาร แต่เชาก็กลับรอดตายมาได้อีกครั้งอย่างไม่น่าเชื่อ
ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลาที่ห่างกันเพียงแค่7ชั่วโมงเท่านั้น
อันดับที่4
เฮเลน คลาเบน ในวัย21ปี ต้องการที่จะเดินทางจากเมือง
แฟร์แบงค์ ไปยัง เมือง ซีแอตเทิล
และเธอก็ตัดสินใจที่จะประหยัดเงินของเธอโดยการออกเดินทางไปกับนักบินฝึกหัดที่ชื่อ
ราล์ฟ ฟอเรส และมันก็กลับกลายมาเป็นทางเลือกที่เธอต้องเสียใจไปชั่วชีวิต ในวันที่4เดือน กุมภา ปีค.ศ 1963 เครื่องบินของ
ฟลอเรสได้พุ่งชนและร่วงลงมายังพื้นที่รกร้างและว่างเปล่าในบริเวณยูคอนเทอรีเทอรี ณ
ประเทศ แคนาดา ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บและมีกระดูกบางส่วนที่หักจากเหตุการณ์นั้น
ในตอนนั้นเองอุปรณ์ยังชีพที่พวกเขามีเหลืออยู่นั้นมีเพียงแค่
ไม้ขีดไฟและอาหารกระป๋องเพียงเล็กน้อย
พวกเขาใช้พรมที่อยู่ในเครื่องบินมาแทนผ้าห่มและใช้แกสโซลีนในถังเชื้อเพลิงสำหรับการก่อไฟ
เพื่อรับมือกับอุณหภูมิที่ติดลบ42องศา
หลังจากผ่านไป 1สัปดาห์ อาหารสำรองของพวกเขาก็หมดลง
ทำให้ต้องดื่มน้ำประทังชีวิตไปในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามจากการที่ทั้งคู่มีน้ำหนักที่ค่อนข้างมากจึงทำให้ทนอยู่ในสภาพอากาศที่เหน็บหนาวและการขาดแคลนอาหารได้เป็นระยะเวลาทั้งหมด42วัน ก่อนที่ทีมช่วยเหลือจะค้นหาพวกเขาเจอ
อันดับที่3
อนาโทลี บูโรสกี ทำงานเป็นนักวิจัยฟิสิกส์พลังงานสูงที่เมืองโปรตวิโน
ในวันที่
13 เดือนกรกฏาคม ปีค.ศ 1978 เขาได้การตรวจสอบเครื่อง
ซิงโครตรอน ยู70 ที่ได้รับการรายงานว่าทำงานผิดปกติ
โดยการก้มหัวลงไปตรวจดู แต่ปรากฏว่าหัวของเขาติดอยู่ในเครื่อง และในขณะเดียวกันกลไกความปลอดภัยของเครื่องก็ได้ทำงานผิดพลาด
ส่งผลให้ ลำแสงโปรตอนยิทะลุงผ่านกระโหลกศรีษะของเขาไป โดยจากรายงานระบุว่ามีจำนวนรังสีมากกว่า2แสนแรด เข้าไปอยู่ภายในกะโหลก ศรีษะของบูโรสกีซึ่งโดยปกติแล้วเพียงแค่ได้รับรังสี500-600แรดก็สามารถทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
ใบหน้าของทูโบรสกีด้านซ้ายค่อยๆเริ่มเปล่งบวมขึ้น
และไม่กี่วันต่อมาผิวหนังบริเวณนั้นก็เริ่มลอกออก เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแต่แพทย์คาดการณ์ว่าเขาจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตามเขากลับมีชีวิตรอดและสามารถกลับมาศึกษาในมหาวิทยาลัยต่อจนจบปริญญาเอก
แต่หูข้างซ้ายของเขาก็ได้สูญเสียการได้ยินไปและใบหน้าด้านซ้ายของเขาก็ไม่มีความรู้สึกอีกต่อไป
อันดับที่2 ทรอแมนดันแคน
ทรอแมนดันแคนทำงานเป็นพนักงานสับรางรถไฟ และได้เกิดพลาดร่วงตกลงมาตรงหน้ารถไฟที่กำลังวิ่งอยู่
เขาถูกลากไปที่ใต้ล้อ และร่างกายถูกตัดออกเป็นสองส่วน
แม้ว่าจะสูญเสียขาทั้งสองข้างและไตไป
ดันแคนได้โทรไปหาหน่วยกู้ชีพด้วยตัวของเขาเอง
และมีชีวิตอยู่รอดนานถึง45นาทีก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง
เขาได้รับการผ่าตัดรวมทั้งหมด23ครั้ง ในเวลา4เดือนก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาลและมีชีวิตอยู่ได้ในปัจจุบัน
อันดับที่1
เฟรน เซลาค คือหนึ่งในบุคคลที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในด้านของการเฉียดตายหลายครั้งหลายครา
ประสบการณ์เฉียดตายครั้งแรกเริ่มต้นเมื่อปี1962 เดือนมกรา ในฤดูหนาว
เขาได้นั่งรถไฟที่กำลังไปยังเมือง ดูโบรฟนิก
ทันใดนั้นรถไฟเกิดตกรางและร่วงลงไปยังแม่น้ำที่ผิวจับตัวเป็นน้ำแข็ง ในเหตุการณ์นั้น
มีผู้เสียชีวิต 17คน แต่เฟรน รอดตายมาได้
โดยมีแขนข้างนึงหักและรอยฟกช้ำเพียงเล็กน้อย
ในปีถัดมา เขาต้องบินไปยังเมือง
รีเยกาเพื่อกลับไปดูแลมารดา เฟรนขอนั่งหลังสุดติดกับที่นั่งของแอร์โฮสเตส แต่ในระหว่างที่เครื่องบินกำลังร่อนลงสู่พื้น
เครื่องบินเกิดเหตุขัดข้องและ เกิดเหตุไม่คาดฝัน ประตูท้ายเปิดกะทันหัน เฟรนถูกพัดให้ตกออกจาเครื่อง
แต่เฟรนกลับรอดตายราวกับปาฎิหารย์เพราะตกลงบนกองฟางหนา ส่วนผู้โดยสารที่เหลือทั้งหมด19คนเสียชีวิตจากเหตุเครื่องบินตก
ในปี1966 รถโดยสารคันที่เฟรนนั่งเกิดประสานงานกับรถใหญ่กลางสะพานจนตกลงไปในแม่น้ำ
ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน และเป็นอีกครั้งที่เฟรนว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย
โชคร้ายของเฟรนยังไม่หมด ในปี 1995 เขาขับรถสวนกับรถบรรทุกในบริเวณคับขันบนไหล่เขาจนรถพุ่งตกลงไปในเหวลึก 300 ฟุตและระเบิด
ไฟลุกท่วม โชคดีที่เฟรนเปิดประตูและกระโดดออกจากรถได้ทันก่อนที่มันจะดิ่งเหว ในเวลาต่อมา ตำรวจพบเฟรนกำลังนั่งพิงต้นไม้
และมีบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามในปีค.ศ2003 ชะตาชีวิตของเขาก็ได้เปลี่ยนไป เฟรนได้รับรางวัลจากการถูกล็อตเตอรี่
เป็นจำนวนเงินทั้งหมด1ล้านดอลล่าร์
ทำให้เขาได้ถูกขนานนามให้เป็นมนุษย์ที่มีความโชคดีในความโชคร้ายมากที่สุดในโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น